วัดอินทาราม Watintaram

ประวัติ

วัดอินทาราม เป็นวัดสำคัญของสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี เป็นวัดอนุสรณ์สันติสถานที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มหาวีระกษัตริย์ของไทยเราทรงประกอบพระราชกุศล มีโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับพระองค์เป็นชีวิตจิตใจหลายอย่าง ที่นับว่าสำคัญน่าชมและศึกษา คือพระแท่นบรรทมไสยาสน์ เป็นพระราชอาสน์ที่พระองค์ทรงประทับแรมทรงศีลแลทรงเจริญกรรมฐาน ประวัติที่น่าศึกษาของวัดนี้คือ เป็นที่ประดิษฐาน (ฝัง) พระบรมศพของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๗ และบรมศพพระอัครมเหสีของพระองค์ ก็ได้ถวายพระเพลิงและบรรจุพระบรมอัฐิไว้ ณ วัดนี้ทั้งสองพระองค์
วัดอินทารามขณะนี้เป็นอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนเทอดไท ปากคลองบางยี่เรือ ริมคลองบางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง) แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร (แต่เดิมหน้าวัดอยู่ทางคลองบางกอกใหญ่ แต่เมื่อตัดถนนแล้ว จึงใช้ทางหลวงเป็นหน้าวัดด้วย) เนื้อที่ของวัดนี้เดิมเป็นแปลงเดียวตลอดกันทั้งวัด ต่อมาทางรถไฟสายมหาชัยได้ตัดทางเข้ามาทางหลังวัด กินเนื้อที่วัดเข้ามาเขตตะวันออกจดคลองบางยี่เรือ (คลองสำเหร่) และเทศบาลนครธนบุรีได้ตัดทางรถยนต์เข้ามาทางด้านตะวันออก เฉียดกำแพงรอบนอกพระอุโบสถจดถึงลำคลองบางยี่เรือ เพราะเหตุนี้วัดจึงแยกเป็นสองแปลง เนื้อที่ตั้งวัดประมาณ ๑๕ ไร่ ๒ งาน เป็นที่ธรณีสงฆ์สำหรับจัดหาผลประโยชน์บำรุงวัดประมาณ ๙ ไร่ ๒ งาน ๙๐ ตารางวา รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๒๕ ไร่

 -  ทิศเหนือ จดคลองบางกอกใหญ่ขนานตามลำคลอง
-   ทิศใต้ จดคูและทางรถไฟ
-   ทิศตะวันออกจดคูวัด
-   ทิศตะวันตก จดคลองบางยี่เรือขนานตามลำคลอง

ต่อมาในปี ๒๕๐๕ ทางวัดอนุญาตที่ดินจำนวน ๓ ไร่ ๓ งาน ซึ่งอยู่ติดกับถนนเทอดไทให้กับกระทรวงศึกษาธิการสร้าง ร.ร.วิสามัญการศึกษาขึ้น

วัดอินทารามวรวิหารเป็นวัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า “วัดบางยี่เรือนอก” คู่กับวัดราชคฤห์ซึ่งเรียกว่า “วัดบางยี่เรือใน” วัดนี้ไม่ปรากฏว่าผู้ใดสร้างและสร้างมาแต่ครั้งใด เพิ่งปรากฏในพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ร่วงโรยมากและเป็นวัดเล็ก ๆ อย่างบ้านนอกไกล ๆ แบบเดี๋ยวนี้ ต่อเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งเมืองธนบุรีเป็นเมืองหลวง วัดนี้บังเอิญเป็นที่ประสพพระราชหฤทัยของพระองค์ท่าน จึงทรงบูรณะปฏิสังขรณ์อย่างถึงขนาด ขยายที่ทางไว้เป็นอันมาก แล้วทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นเอกพิเศษ ใช้เป็นที่ประกอบพระราชกุศลอย่างใหญ่ ๆ หลายครั้ง


ก่อนที่กล่าวประวัติวัดอินทารามต่อไป ควรจะทราบหลักฐานที่มาของนามเก่าเสียก่อน ที่เดิมเรียกวัดบางยี่เรือนอกนั้น เพราะเมืองธนบุรีเดิมสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตั้งอยู่ที่วัดคูหาสวรรค์ (วัดศาลาสี่หน้า) ในคลองบางกอกใหญ่ จากเมืองเก่ามาก็ต้องถึงวัดราชคฤห์ก่อน จึงเรียกวัดราชคฤห์ว่า “วัดบางยี่เรือใน” ส่วนวัดจันทารามอยู่กลาง จึงเรียกว่า “วัดบางยี่เรือกลาง” ถัดมาก็ถึงมาก็ถึงวัดอินทารามเรียกกันว่า “วัดบางยี่เรือนอก” การที่เรียกวัดบางยี่เรือนอก ก็เพราะในสมัยก่อนไม่ค่อยได้ตั้งชื่อวัดให้ไพเราะเหมือนอย่างสมัยทุกวันนี้ คือวัดอยู่ที่ไหนก็เรียกตามสถานที่ตำบลนั้น และถ้าบังเอิญตำบลนั้นมีหลายวัดที่เรียกวัดใกล้ว่าวัดใน วัดถัดออกไปว่าวัดกลาง วัดสุดท้ายว่าวัดนอก (วัดที่เรียงกันไป) ตามแต่ที่จะเข้าใจกันตามยุคตามสมัย หรือเรียกตามสถานที่บางอย่าง เช่น วัดเวฬุราชิณ เรียกกันว่า “วัดใหม่ท้องคุ้ง” ก็เพราะตรงที่วัดนั้นเป็นคุ้งน้ำใหญ่ในคลองบางกอกใหญ่แห่งหนึ่ง มีเรื่องเล่ากันว่าพื้นที่ตามริมคลองบางกอกใหญ่ซึ่งเป็นแขวง (ตำบล) บางยี่เรืออยู่ในขณะนี้นั้น ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีลักษณะเป็นป่าสะแกทึบ แต่ฝั่งตรงกันข้ามเป็นที่ลุ่มมีหญ้าและกกขึ้นอยู่ในน้ำตื้น ๆ คล้ายป่าพลุ ถ้าหากมีเรือล่องมาจากลำคลองจะต้องอ้อมคุ้งมองเห็นบริเวณป่าในระยะไกลได้ถนัด ชายป่าริมฝั่งตรงนี้เองได้เป็นชัยภูมิของทหารไทยใช้เป็นซุ่มดักยิงเรือของข้าศึกที่ผ่านออกมาอย่างไม่ระมัดระวัง อาการที่ซุ่มยิงอย่างนี้เรียกว่า “บังยิงเรือ” กลายเป็นชื่อตำบล(แขวง)นั้น ต่อมาเพี้ยนเป็น “บางยิงเรือ” แล้วก็ “บางยี่เรือ” ในที่สุด
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอันได้ความว่า วัดอินทารามที่เรียกว่าบางยี่เรือนนอก ด้วยเหตุตั้งอยู่ด้านนอก เพราะนับจากเมืองธนบุรีเก่าออกมา หลักฐานเช่นนี้จึงได้รู้ว่าวัดอินทารามได้นามว่า วัดบางยี่เรือนอก ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เพราะปรากฏว่าครั้งสมเด็จพระชัยราชา ได้โปรดให้ขุดคลองไปต่อกับคลองบางกอกน้อย ซึ่งส่วนที่ลัดระหว่างคลองบางกอกน้อยกับคลองบางกอกใหญ่ ถูกน้ำเซาะกลางออกไปกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาในภายหลังต่อมา นอกจากจะเคยเรียกกันว่าวัดบางยี่เรือนอก วัดนี้ยังเคยมีชื่อเรียกกันอีกหลายอย่าง เช่น วัดสวนพลู เพราะครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียังอยู่ในพระราชสมบัติ ที่ดินใกล้เคียงวัดอินทาราม มีคนทำเป็นนา เมื่อเลิกจากนากลายเป็นสวนขึ้นแล้วก็มีการทำสวนพลูขึ้น ต่อมาก็เลยเรียกตามสิ่งใกล้เคียงนี้ว่า วัดสวนพลู ปัจจุบัน กลายเป็นสวนอื่น ๆ ไปหมด วัดใต้ ที่เรียกกันติดปากกันมาก็ได้แก่วัดบางยี่เรือใต้ เรียกตามที่ตั้งตัวเมืองเก่า ตัดคำว่า “บางยี่เรือ” ออกเสีย เช่นเดียวกับวัดจันทาราม ซึ่งติดกับวัดนี้อันเคยมีนามเดิมว่าวัดบางยี่เรือกลาง ก็เรียกว่า “วัดกลาง” คำเดียว ในสมัยรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ วัดอินทารามมีชื่อเรียกว่า วัดบางยี่เรือไทย โดยที่มีวัดบางยี่เรือรามัญ เรียกสั้น ๆ ว่า วัดมอญ จึงพากันเรียกวัดนี้ว่าวัดบางยี่เรือไทย วัดนี้มาได้ชื่อว่าวัดอินทารามในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปนี้

การก่อสร้างในสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อพระบรมราชาภิเษกแล้วได้ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดอินทาราม คือทรงถวายที่ดินเป็นที่ธรณีสงฆ์เป็นอันมาก ทรงสร้างกุฏิ เสนาสนะสงฆ์ ๑๒๐ หลัง บูรณะพระปฏิมาและพระอุโบสถ เจดีย์ วิหาร ให้บูรณะขึ้นทั่วทั้งพระอาราม ทรงขุดคู ถวายพระไตรปิฏก พระหีบปิดทองคู่หนึ่ง สำหรับเก็บวิธีอุปเทศพระกรรมฐาน พระกรุณาที่ทรงมีอยู่แก่วัดอินทารามจะมิได้หมดไปเพียงเท่านี้ พระองค์ก็ยังทรงทำให้วัดอินทารามเป็นสิริสถานขึ้นอีก โดยเสด็จมาทรงศีลบำเพ็ญพระกรรมฐานแรมพระตำหนักอยู่ถึง ๕ เวร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ ทรงถวายเรือโขมดยาปิดทองทึบหลังคาบัลลังก์คาดสีสักหลาดเหลือง ๑ ลำ คนพายสิบคน พระราชทานคนพายเหล่านั้นมาเป็นปะขาวอยู่วัด กับยังได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ฝ่ายวิปัสนาธุระมาอยู่ในกุฏิที่ทรงสร้างไว้นั้น เกณฑ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทให้เป็นผู้ปฏิบัติพระทุกรูป และพระองค์เองก็ได้เสด็จไปถวายเป็นพระบรมราโชวาทแก่พระภิกษุสงฆ์ ด้วยพระราชหฤทัยทรงมสิการสักการะพระบวรพุทธศาสนาอย่างดูดดื่ม ปรากฏพระบรมราโชวาทที่ค้นพบในพงศาวดารตอนหนึ่ง ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งว่า

“ขอพระผู้เป็นเจ้า จงตั้งสติอารมณ์ ปรนนิบัติตั้งอยู่ในพระจตุปาริสุทธิศีล สังวรวินัยบัญญัติบริบูรณ์ อย่าให้พระศาสนาของพระพุทธองค์เศร้าหมองเลย แม้พระผู้เป็นเจ้าจะขัดสนด้วยจตุปัจจัย ๔ ประการนั้น เป็นธุระของโยมจะอุปถัมภ์ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวงมีศีลคุณบริบูรณ์ในพระศาสนาแล้ว แม้นปรารถนามังสะรุธิระของโยม โยมก็สามารถเชือดเนื้อและโลหิตออกมาบำเพ็ญทานได้” (คำว่ารุธิระหมายถึงโลหิต)

เมื่อพุทธศักราช ๒๓๑๘ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จกลับจากพระราชสงครามที่เมืองสระบุรี ได้โปรดให้สร้างเมรุที่วัดอินทาราม เพื่อถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระราชชนนีใช้เวลาสร้างอยู่ถึง ๒ เดือน พระเมรุโปรดให้สร้างเป็นมณฑปและมิได้ใช้เจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจปลูกสร้างเลย โปรดให้รายบุคคลให้ทำกันคนละด้าน คือพระราชสงครามทำด้านเหนือ หลวงศรีกาลสมุดทำด้านใต้ พระราชสุภาวดีทำด้านตะวันออก พระเทพพี่เลี้ยงทำด้านตะวันตก ส่วนพลับพลาโรงทิมพระสงฆ์ และทิมต่าง ๆ โรงไว้สังเฆต โรงฉ้อทาน ร้านน้ำ โรงพิเศษ โรงศาลาลูกขุน สามช่าง ชื่อขวาง เฉวียงขวาง ระทาใหญ่ ราชวัตรทึบ ราชวัตรเลว และฉัตรเบญจรงค์ ได้เกณฑ์กรมกองต่าง ๆ คือ กรมกลาโหม กรมวัง กรมมหาดไทย กรมนครบาล กรมพระคลัง กรมคลังพิเศษ กรมคลังหลวง กรมคลังนา คลังในซ้าย คลังในขวา กรมเมือง กรมแพ่ง กรมแพ่งกลาง กรมแพ่งเกษม กรมท่า กรมอาสาหกเหล่า สนม ทหาร พลเรือน อาสาเดโช อาสาท้ายน้ำ เป็นผู้จัดทำ

เครื่องประกอบที่กรมกองทั้งหลายได้ทำสำหรับประกอบในงานพระเมรุที่วัดอินทาราม คราวนี้ มีราชวัตรทึบ ๑๔๕ ราชวัตรเลว ๔๕ ราชวัตร ฉัตรเบญจรงค์ ๒๐ ฉัตร ทาระใหญ่ ๑๒ ระทา ร้านน้ำ ๓๒ ร้าน สามช่าง ชื่อขวาง เฉวียงขวาง ๔ ทิศ ยาวข้างละ ๕ เส้น ๑๒ วา ทิมพระสงฆ์ ๖ ทิม โรงพิเศษ ๑ โรง โรงศาลาลูกขุน ๑ โรง โรงโขนระหว่างช่องระทา ๑๔ โรง โรงเทพทอง ๒ โรง โรงไว้สังเฆต ๒ โรง ห่างจากราชวัตรทึบออกไปเป็นที่ตั้งดอกไม้เพลิง ๒ เส้น ๑๕ วา
ฝ่ายราษฎรนั้น กรมมหาดไทยได้เกณฑ์ให้ช่วยกันตั้งราชวัตรกระดาษ (ฉัตร) เรียงรายตามทาง กรมมหาดไทยได้เกณฑ์ไปฝึกซ้อมเครื่องเล่นมหรสพไว้นำมาแสดงทำดอกไม้เพลิง และคนที่สำหรับถือดอกบัวคู่ตามกระบวนแห่ให้สมทบกับราชการกรมสนมที่ทำเครื่องสูง แห่งระพรหมนำข้างขวา พระอินทร์แห่นำข้างซ้าย ซึ่งมีเสมียนกรมวังเข้าสมทบด้วย
เมื่อได้สร้างพระเมรุเสร็จแล้ว ก็โปรดให้ชักพระศพมาสู่วัดอินทาราม ณ วันอังคาร แรม ๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะแม พุทธศักราช ๓๒๑๘ รุ่งขึ้นอีก ๒ วัน ก็ได้ถวายพระเพลิงคือ วันพฤหัสบดี แรม ๕ ค่ำ เดือน ๖ ค่ำนั้น รวมเป็นเวลาประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงคราวนี้ ๓ วัน ๓ คืน มีการละเล่นมหรสพต่าง ๆ กัน คือ กลางคืนมีโขน ๒ โรง โรงงิ้ว ๓ โรง เทพทอง ๒ โรง รำหญิง ๔ โรง หนังกลางวัน ๒ โรง หุ่นญวน ๑ โรง หุ่นลาว ๒ โรง กลางคืน หนังใหญ่ ๓ โรง หนังใหญ่ระหว่างช่องระทา ๑๐ โรง หนังจีน ๒ โรง จัดดอกไม้เพลิงถวายพระบรมศพทั้ง ๓ คืน ซึ่งรวมดอกไม้เพลิงที่จุด ๓ คืน ดอกไม้ระทา ๔๘ ระทา ไฟพะเนียง ๒๐๐ กระบอก เสือลากหาง ๑๒ สาย เพลิงพร้อม ๓ สิงห์โตไฟ ๙ ตัว ม้าไฟ ๑๐ ตัว ดอกไม้เพลิงชนิดกระถาง ๑๓ กระถาง ขึ้นคลีม้า ๑๑ ม้า

ในการประกอบพระราชพิธีถวายพระเลิงศพพระราชนนีนาถของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีครั้งนี้ ยังหาจุพระทัยของพระองค์ไม่ เนื่องจากเกิดศึกพม่าอะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาประชิดเมืองพิษณุโลก ถ้าจะทรงทำพระเมรุดีจริง ๆ ก็เสียเวลานาน แม้ยอดพระเมรุก็ยังใช้กระดาษน้ำตระกูดแผง เอาแทนแผ่นดีบุก อนึ่งยังเป็นเวลาชุกฟ้าชุกฝนด้วย ในระหว่างงานฝนจึงตกเปียกดอกไม้เพลิงต่าง ๆ จุดไม่ติดเสียเป็นอันมาก จึงทรงปรึกษากับพวกลูกขุนว่าจะเห็นควรตัดค่าบำเหน็จดอกไม้เพลิงครั้งนี้เสียบ้างหรือไม่ พวกลูกขุนก็ทูลว่าควรลด เพราะดินปืนของที่ทำก็เป็นของหลวง จึงได้ทรงลดเงินค่าบำเหน็จค่าดอกไม้เพลิง และได้ทรงพระราชดำริว่า เมื่อบ้านเมืองสงบศึกเรียบร้อยแล้วจะถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระราชนนีอีกให้สมกับเป็นผู้มีพระคุณอย่างล้นเหลือ

พุทธศักราช ๒๓๑๙ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้จัดงานถวายพระราชกุศลแด่พระบรมอัฐิพระราชนนีอีกตามที่ได้ทรงพระราชดำริไว้ ในงานบำเพ็ญราชกุศลคราวนี้ทรงบำเพ็ญเป็นงานใหญ่เพื่ออุทิศส่วนพระราชกุศลฉลองพระเกียรติของสมเด็จพระราชนนีนาถ ได้เกณฑ์กรมทหารเมืองมาช่วยด้วย เมืองภาคเหนือมีเมืองลพบุรี เมืองนครสวรรค์ เมืองพิจิตร เมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองสุโขทัย ส่วนเมืองภาคอื่นมีเมืองชัยนาท เมืองสิงห์บุรี เมืองอ่างทอง เมืองอินทร์บุรี เมืองฉะเชิงเทรา เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี และเมืองสุพรรณบุรี ได้กรมการเมืองเหล่านี้มาช่วยกันกับทางวัดทำสะพานทำพลับพลาและปลูกโรงทิมต่าง ๆ สำหรับประดิษฐานพระบรมอัฐิ นี่คือข้าราชการหัวเมืองต่าง ๆ ต้องทำงานที่วัดอินทารามนี้ งานนี้ได้ใช้หัวหน้าที่สำคัญทั้งในกรุงและนอกกรุง มีเจ้าพระยา ๒ พระยา ๘ คน พระ ๖ คน หลวง ๘ คน ขุน ๑๑ คน หมื่น ๘ คน และได้แยกย้ายไปเกณฑ์คนทำงานต่าง ๆ คือ ช่างทำบุษบกร้านม้า ๕๒ คน คนหามเสลี่ยงงา ๗ คน คนทำเครื่องสูง ๑๘ คน ชาวภูษาช่วยอีก ๒ คน คนทำทิมและงานเบ็ดเตล็ด ๑,๒๓๒ คน กรมกลาโหมเกณฑ์กันทำ ๕๖๒ กรมอาสาหกเหล่าทำทิมสงฆ์ ๖๓ คน กรมตำรวจปลูกพลับพลา ๓๐๓ คน พวกสรมทูลข้าละอองคอยถวายข้าวห่อแก่พระสงฆ์ ๒๓๒ คน กรมสัสดีทำทิมประดิษฐานพระบรมอัฐิ ๑๙๙ คน กรมนครบาลเกณฑ์กันสร้างสะพาน ๑๐๕ คน มหาดไทยเกณฑ์คนถางหญ้าหน้าวัด ๒๘๗ คน ชายพายเรือขบวนแห่ ๑,๔๓๙ คน หญิงพายเรือมังกุขบวนแห่ ๑๕๖ คน ชายคอยทำการขบวนแห่ ๑,๒๓๒ คน กรมต่าง ๆ ทำราชวัตรและฉัตรใหญ่ ๖๐ คน มหาดเล็กรักษาเครื่องนมัสการ ๑๔ คน ตำรวจ ๔ คน จุดประโคมไฟ ๔ ทิศ รวมคนที่ทำการพระราชกุศลของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่วัดอินทารามครั้งนี้ เฉพาะที่จดหมายเหตุเอาไว้นั้น ๖,๐๐๐ คนเศษ งานบำเพ็ญพระราชสักการะพระบรมอัฐิกรมพระพิทักษ์เทพามาตย์ ณ วันอังคารขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย ปีวอก พุทธศักราช ๒๓๑๙ หมายกำหนดการได้สั่งไว้ดังนี้

เวลาเช้าเชิญพระบรมอัฐิขึ้นเสลี่ยงงา ออกประตูพระราชวังตรงไปวัดโมฬีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) มีเครื่องสูง แตร สังข์ ปี่ กลองชนะ และเกณฑ์ผู้แห่เดินเท้าหน้า เท้าหลัง ณ สะพานประตูใหญ่เหนือมณฑป เรือโขมดยาทอง เรือโขมดยารายประดับเครื่องสูงแห่ไปหน้าคู่หนึ่ง เรือโขมดยาเงินประดับเครื่องสูงคุมหลัง เรือโขมดยาสีสักหลาดบรรทุกเครื่องประโคมแตรสังข์ เรือดั้งขุนราชเสนีและเรือดั้งขุนราชเสนาบรรทุกปี่กลองชนะ นอกนั้นมีเรือกราบทูลละออง เรือแผงและเรือมังกุ พวกผู้หญิงเข้าขบวนแห่เป็นริ้วกันไป ๗๙ ลำ แห่ขึ้นไปถึงบางยี่ขันแล้วกลับมาประดิษฐาน ณ พลับพลาวัดอินทาราม ครั้นแห่พระบรมอัฐิไปประดิษฐานยังวัดอินทารามแล้ว ก็โปรดให้กรมกองกลางนำเงินไปแจกเป็นมหาทานแก่พวกข้าทูลละอองที่มาในงานทุกคน ผู้ชายพระราชทานให้คนละสลึง ผู้หญิงพระราชทานให้คนละเฟื้อง กับให้พระยามหาเสนาคุมเงิน ๑๐ ชั่ง ไปเที่ยวแจกกระยาจกวณิพกตามในกรุงและนอกกรุง โปรดให้สังฆการีอาราธนาพระสงฆ์มาสบสังวาส ๑ หมื่น มีสงฆ์ที่มาเป็นพระภิกษุ ๒,๒๓๐ รูป เถรและเณร ๑,๗๓๘ องค์ (สงฆ์สบสังวาสในพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจนานุมาศ) (เจิม) ว่าสงฆ์ไม่เลือกนิกายและอารามรวมกัน ในพระราชวิจารณ์รัชกาลที่ ๕ ทรงให้อรรถาธิบายไว้ว่า สบสังวาสหมื่นหนึ่งหมายถึงการถวายข้าวสงฆ์องค์ละ ๒ ห่อ ไม่ใช่ถวายเงินซึ่งเป็นวิธีของชาวกรุงเก่า

ที่ได้นำเรื่องราวงานถวายพระเพลิงและพระบรมอัฐิของสมเด็จกรมพระพิทักษ์เทพามาตย์มากล่าว ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าวัดอินทารามเมื่อก่อนน่าสนุกครึกครื้นเพียงใด ที่ได้มีมหรสพต่าง ๆ พร้อมกันในเวลาเดียวกันถึง ๒๐ กว่าโรง และต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้พระราชทานเพลิงเจ้านายและคนสำคัญ ๆ ที่รู้จักกันดีในพงศาวดารอีกหลายท่าน ซึ่งทุก ๆ ครั้งย่อมกระทำเป็นทางราชการอย่างใหญ่ ที่ต้องประดับไปด้วยราชวัตร ฉัตรเงิน ฉัตรทอง มีการเล่น เต้นรำ แห่และจุดดอกไม้เพลิงนานาชนิดดังที่ปรากฏพระราชทานเพลิงโดยต่อมา คือ
๑. เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๓ ปีวอก พุทธศักราช ๒๓๑๙ งานพระราชทานเพลิงพระศพกรมขุนอินทรพิทักษ์ ได้ทำอยู่ ๗ วัน ๗ คืน
๒. เมื่อวันศุกร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีวอก พุทธศักราช ๒๓๑๙ งานพระราชทานเพลิงศพพระเจ้านราสุริวงษ์ ได้ทำอยู่ ๓ วัน ๓ คืน
๓. เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีระกา พุทธศักราช ๒๓๒๐ งานพระราชทานเพลิงพระศพพระหม่อมเจ้าเส็ง พระยาสุโขทัย พระยาพิชัยไอยสวรรค์
๔. เมื่อวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีชวด พุทธศักราช ๒๓๒๓ งานพระศพมารดาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ (เจ้าฟ้าเหม็น) พระราชบิดาในรัชกาลที่ ๑ แต่พระราชพิธีคงได้ลดกันตามยศ เช่น คราวพระเมรุพระศพขุนอินทรพิทักษ์ ก็ได้ทำยกพื้นเป็นภูเขา ๓ ชั้นขึ้นไปปักเครื่องสูงตามมุมทั้ง ๔ ทิศจนถึงแว่นฟ้าตั้งโกศ มีราชวัตรทึบ ราชวัตรเลว ดังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงพระวิจารณ์ไว้ในจดหมายเหตุความจำของกรมหลวงนรินทร์เททวี (เจ้าครอกโพธิ์) ว่าแบบแปลนพระเมรุคราวนี้ คงทำเหมือนพระเมรุกรมหมื่นวิษณุนารถเป็นจตุรมุข ไม่มียอดเหมือนรัชกาลที่ ๔
เพื่อให้เห็นสถิติความสนุกสนานของวัดอินทารามในยุคนั้น จึงรวมสถิติคร่าว ๆ มาให้ดูไว้ด้วยมีงาน ๗ คราว มีมหรสพแสดง ๒๙ วัน (ไม่ได้รวมเวลาที่เตรียมและก่อสร้างโรงพระราชพิธี) กลางวันมีโขนโรงใหญ่และธรรมดา ๙๔ โรง เทพทอง ๙ โรง งิ้วโรงใหญ่และธรรมดา ๒๒ โรง หนังกลางวัน ๒๕ โรง รำหญิง ๓๑ โรง ละครเขมร ๕ โรง คนต่อเท้า ๑๒ ญวนหก ๓๗ หุ่นลาว ๒๔ หุ่นมอญ ๒๘ รามัญเก่า ๑๖ รามัญใหม่ ๒๐ กลางคืนหนังไทยโรงใหญ่และหนังไทยต่าง ๆ ๗๕ หนังจีน ๒๕ มหรสพที่มีน้อยในเวลากลางคืนก็เพราะใช้จุดดอกไม้เพลิงต่าง ๆ แทนกันเสีย รวมมีงาน ๗ ครั้ง มีการละเล่น ๕๒๒ ราย วิธีคิดคือ เช่นกลางวันมีงิ้ว ๕ โรง ๆ ละ ๓ วันก็คิดเป็น ๑๕ ราย

สมัยรัตนโกสินทร์ ฯ
พุทธศักราช ๒๓๒๕ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสวรรคต ได้นำพระบรมศพมาประดิษฐาน (ฝัง) ไว้ ณ วัดนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้เสวยราชสมบัติแล้ว ก็ยังทรงรับวัดอินทารามเป็นพระอารามหลวงอยู่อีก ในเรื่องพระราชาคณะที่ปกครองวัดอินทารามมาแต่ก่อน ถ้าจะนึกถึงสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็ดูว่าวัดอินทารามออกจะมีเกียรติที่ดีอยู่อีกอย่างหนึ่งที่เคยมีพระราชาคณะมากกว่าวัดที่มีสมเด็จพระสังฆราชในเวลานั้น เรื่องนั้นจะรู้ได้ก็คราวอสุนีบาตตกที่ปราสาทเบื้องอุดรเกิดไฟไหม้ขึ้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าทรงอาราธนาพระราชาคณะทุก ๆ องค์ และทุก ๆ วัดไปวินิจฉัย ได้ปรากฏว่าวัดระฆังมีสมเด็จพระสังฆราชพระองค์หนึ่ง และพระราชาคณะธรรมดาองค์หนึ่ง ส่วนวัดอินทารามมีพระราชาคณะ ๓ องค์ คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เป้า) พระธรรมมุนี และพระราชมุนี มีพระราชาคณะที่มากกว่าวัดที่มีสมเด็จพระสังฆราชพระราช ๑ องค์ มีเรื่องกล่าวไว้ในลัทธิธรรมเนียมภาคที่ ๑ ว่า พระองค์ได้เคยทรงเสด็จมาพระราชทานผ้าพระกฐิน ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปีมะแม วันอาทิตย์แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๑ พุทธศักราช ๒๓๓๐ ครั้งหลังเมื่อปีระกา พุทธศักราช ๒๓๓๒ จึงเป็นประเพณีในรัชกาลต่อ ๆ มาทุกรัชกาลจนถึงรัชกาลที่ ๗ ได้เสร็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินอย่างน้อยรัชกาลละครั้ง แต่คงมิได้ปฏิสังขรณ์สิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมหรือการสร้างขึ้นใหม่เพิ่มเติม ได้พยายามค้นจากตำนานวัตถุสถานต่าง ๆ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวสถาปนาก็ยังไม่มีการปฏิสังขรณ์ สันนิษฐานเหตุการณ์จากสิ่งสลักหักพังร่วงโรยไปมากนั้น พอจะได้วัตถุสถานเป็นทางลงวินิจวิจัยได้ว่า วัดอินทารามคงได้ขาดการปฏิสังขรณ์มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ จนล่วงมาถึงรัชกาลที่ ๓ หากจะมีการปฏิสังขรณ์ขึ้นบ้างแล้ว ก็คงจะเป็นบางส่วนและส่วนน้อยเท่านั้น
ถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ฯ วัดอินทารามซึ่งได้เสื่อมสลักหักพังไปเพราะขาดผู้ทำนุบำรุงก็ได้ผู้ศรัทธาปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ผู้ที่มีศรัทธาปฏิสังขรณ์วัดอินทารามขึ้นใหม่ครั้งนี้ ได้แก่ พระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) ต้นตระกูลศรีเพ็ญ การปฏิสังขรณ์ครั้งนี้มิได้ทำกันเพียงสิ่งใดปรักหักพังก็ใช้ซ่อมแซมหรือปรับปรุงโยกย้ายของเก่ามาเป็นของใหม่เท่านั้น แต่พระยาศรีสหเทพได้ปลูกสร้างถาวรวัตถุเสนาสนะขึ้นใหม่ ตั้งแต่พระอุโบสถอันเป็นสิ่งใหญ่ลงไปจนถึงสิ่งเล็กน้อยเสร็จเรียบร้อยแล้วทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นพระอารามหลวงอีกครั้งหนึ่ง พระองค์พระราชทานนามไว้ว่า วัดอินทาราม เป็นอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหารจึงได้เรียกว่าวัดอินทารามสืบมาทุก ๆ วันนี้

วัตถุสถานที่พระยาศรีสหเทพได้สร้างนั้น คือ พระอุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาใหญ่ ศาลาน้อย พระเจดีย์ กุฏิใหญ่ กุฏิน้อย ส้วม ฐาน สะพาน บ่อโพง ก่อถนนหนทางในวัดให้เรียบร้อย ก่อกำแพงและเขื่อนหน้าวัด หอพระไตรปิฎก หอระฆัง สร้างพระพุทธรูป ปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ถวายในวัด ปูพื้นด้วยศิลาตลอด ทำเสาช้าง ๑ เสาม้า ๑ แท่นเสาหงส์ปักหน้าวัด ๒ เสา เสาหนึ่งสูง ๑๕ วา กับ ๒ ศอก ๔ นิ้ว แผ่นศิลาจารึกลับแล ศิลาอาสน์ เก๋งจีนคู่หน้าประตูอุโบสถซ้าย–ขวา กุฏิพระพุทธอนุสรณ์ทั้งยังถ่ายทาสชายหญิง ๒๐ ครัวเรือนไว้ปรนนิบัติพระภิกษุสงฆ์วัดอินทารามนี้ และได้ทำบุญฉลองวัดอินทารามที่บ้านของท่าน ได้ถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์วันละ ๕๐๐ รูป ๓ วัน มีมหรสพต่าง ๆ สมโภชในงานคราวฉลองนี้ทั้ง ๓ วัน ๓ คืน เสร็จแล้วก็อัญเชิญพระไตรปิฏกที่สร้างจบทุกคัมภีร์ประดิษฐานไว้ในตู้ลายลงทองรดน้ำ นำลงแห่ในเรือกันยามาไว้วัดอินทาราม

เพื่อระลึกอนุสรณ์คุณงามความดีของพระยาศรีสหเทพที่ได้สร้างหรือเรียกได้ว่าชุบวัดอินทารามขึ้นมาใหม่ จึงบอกกล่าวประวัติท่านไว้เป็นอนุสรณ์สืบต่อไป
พระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ ปีฉลู พุทธศักราช ๒๒๓๕ จึงอนิจกรรมเมื่อ ๑๑.๐๐ น.เศษ ณ วันอังคาร แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะแม พุทธศักราช ๒๓๘๘ รับราชการอยู่ในระหว่างรัชกาลที่ ๒ ที่ ๓ เชื้อสายของพระยาศรีสหเทพฝ่ายบิดาสืบมาจากพระยาจ่ากร (จรูญ) ซึ่งเป็นบิดาของหลวงรักษ์เสนา (จำรัส) หลวงรักษ์เสนาเป็นบิดาของนายชำนาญกระบวน (ทองขวัญ) และนายชำนาญกระบวนเป็นบิดาของพระยาศรีสหเทพ ส่วนมารดาสืบมาจากพระยารามจตุรงค์ (มะซอน) ซึ่งเป็นพระยารามัญวงศ์จักรีมอญอยู่ในธนบุรี พระยารามจตุรงค์เป็นบิดาของพระยานครอินทร์ พระยานครอินทร์ (สมิงนรเดชะ) เป็นบิดาของท่านทองขอน และท่านทองขอนเป็นมารดา (แม่) ของพระยาศรีสหเทพ
จะเล่าเรื่องของนายชำนาญกระบวน (ทองขวัญ) บิดาพระยาศรีสหเทพเสียก่อน ท่านผู้นี้เคยได้รับข้าราชการมาตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี และได้รับยศจากพระเจ้ากรุงธนบุรี ให้เป็นตำแหน่งหลวงเทียบเมื่อครั้งหลวงราชเสนา (บุญเลี้ยง) ได้เข้าไปขัดตาทัพที่ลาดหญ้ากาญจนบุรี แล้วหลวงราชเสนาก็ได้หายไป สงสัยกันว่าอาจตายในสนามรบ หรือมิฉะนั้นคงจะถูกพม่าจับไปเป็นเชลยเสียแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ เมื่อครั้งเป็นพระยาจักรี จึงกราบทูลต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีให้นายชำนาญกระบวนเป็นตำแหน่งหลวงราชเสนาที่หายไปนั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงประทานตำแหน่งให้ แต่เทียบไว้ก่อนจนกว่านายชำนาญกระบวนจะได้ขัดตาทัพที่บั้นท้ายเพชรกลับแล้วจึงทรงประทานตำแหน่งให้ ส่วนผลประโยชน์ในตำแหน่งหลวงราชเสนาทรงประทานให้ตั้งแต่บัดนั้น และต่อมารัชกาลที่ ๑ นายชำนาญกระบวนก็พยายามรับราชการบ้านเมืองมาเป็นอย่างดี เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จนได้รับพระราชทานยศเป็นพระยา
ฝ่ายญาติต้นวงศ์ทางมารดาของพระยาศรีสหเทพ คือพระยารามจตุรงค์ก็ได้ปรากฏว่าเป็นข้าทูลละออง ฯ ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วยความซื่อสัตย์ภักดี ตำแหน่งเป็นจางวางอาสาหกเหล่า และความจงรักภักดีของท่านผู้นี้ในวาระสุดท้าายก็คือเมื่อคราวเกิดกบฏขึ้นท่านขออาสาปราบ แต่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีห้ามไว้และในที่สุดก็เสียสละชีวิตไปโดยอาการแช่มชื่นดุษณียภาพ เมื่อถวายความกตัญญูกตเวทีอันแรงกล้าต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ครั้นมาถึงพระยาศรีสหเทพผู้สืบเชื้อสาย ก็หาทิ้งทายาทในคุณงามความดีที่จะปฏิบัติต่อเจ้าพระยามหากษัตริย์เสียไม่ ดังปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ทรงนับเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงพระราชหฤทัยของพระองค์ เสมอด้วยแก้วประการหนึ่งในจำนวนแก้ว ๕ ประการของพระองค์นั้น มีเรื่องเช่นนี้อยู่ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงถือว่าพระองค์บริหารราชการแผ่นดินมาด้วยดีนั้นก็โดยมีกำลังจิตจากเครื่องเกื้อกูลหนุนพระองค์อยู่อีก ๕ ประการ คือ
๑. มีกำลังเป็นบ่อแก้ว ทรงยกให้พระยาราชมนตรี (ภู่)
๒. มีพระกำลังเป็นช้างแก้วคือ พระยาช้างเผือกทั้ง ๓ เชือกของพระองค์
๓. มีพละกำลังที่เป็นนางแก้ว ทรงยกให้หมื่นอัปษรสุดาเทพย์ พระราชธิดาที่ทรงรักใคร่ยิ่ง
๔. มีพละกำลังที่ทรงเป็นขุนพลแก้วคือ ทรงยกให้แก่เจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต (สิงห์ สิงหเสนี) ซึ่งเป็นผู้ป้องกันบ้านเมืองฝ่ายทหาร
๕. มีกำลังที่เป็นขุนคลังแก้ว ทรงยกให้แก่พระยาศรีสหเทพ ที่ทรงยกให้เป็นขุนคลังแก้วนั้น มิใช่จะทรงเห็นว่าพระยาศรีสหเทพมั่งมีในสมัยนั้น จนเป็นเศรษฐีได้คนหนึ่งแต่ทรงโปรดปรานก็เพราะพระยาศรีสหเทพ มีวิชาการยังเก่งในด้านอื่น ๆ อีกด้วย
เวลาพระยาศรีสหเทพป่วย ก็ทรงให้หมาดเล็กหุ้นแพรมาคอยสับเปลี่ยนเวรกันเฝ้าสำหรับบันทึกอาการป่วยกราบทูลไปให้ทรงทราบ และเมื่อใกล้ถึงอนิจกรรมก็ได้ถวายไตรแพรและผ้ามา ๔ ไตร ให้พระยาศรีสหเทพทำบุญทันตาเห็นไว้ ซึ่งได้ยกผ้าไตรและพระหัตถ์ทรงจบว่า “ถ้าพระยาศรีสหเทพจะต้องถึงแก่อนิจกรรมแล้ว เกิดในชาติใดก็ขอให้ได้พบกับพระองค์เสมอ” เมื่อพระยาศรีสหเทพได้ถึงอนิจกรรมก็พระราชทานโกศไม้สิบสองกุดั่น มีฉัตรเบญจต่าง ๆ ตั้งล้อมโกศ ๘ ชั้น และเมื่อคราวจะชักศพสู่พระเมรุ ก็ได้ทรงพระราชทานเรือหนุมานให้ประดิษฐ์โกศศพไป กับพระองค์เสร็จพระราชดำเนิน ณ เมรุพระราชทานเพลิงถึง ๒ วัน อัฐของพระยาศรีสหเทพได้มีญาติเก็บมาบรรจุทำอนุสรณ์สาวรีย์ไว้ ณ อินทารามนี้
ในการที่พระยาศรีสหเทพ ได้บูรณะสร้างวัดอินทารามขึ้นใหม่ครั้งนี้ ได้มีผู้แต่งกลอนเพลงยาวชมไว้ สมเด็จกรมพระดำรงฯ ได้ทรงให้คัดพิมพ์เป็นหนังสือของหอพระสมุดขึ้น

ด้วยน้ำจิตศรัทธาท่านกล้าหาญ   ทำกองการเพิ่มเติมอยู่ในกุศล
ได้สร้างวัดอารามนามตำบล         ด้านสกัดหอไตรอยู่ซ้ายขวา
มีเสาคู่หน้าวัดถัดกันมา                บนเสาใหญ่รูปไอยราอัสดร
ศาลาซ้ายขวาอยู่หน้าวัด              คู่เคียงถัดอารามงามสลอน
มีถนนอยู่หน้าท่าคนจร                 นามกร เรียกวัดอินทาราม
ประกอบด้วยปัญญาศรัทธามาก   บริจาคทรัพย์ไม่นึกขาม
ไทยทานตามมีให้ชีพราหมณ์      ถวายตามน้ำในได้ศรัทธา
มีพระสงฆ์ทรงศีลามาบิณฑบาต  ถวายไปไม่ขาดตามปรารถนา
ไตรจีวรที่พระสงฆ์จำนงมา          ได้วันทาน้อมกายถวายทาน
ได้ก่อสร้างอย่างยิ่งสิ่งกุศล         เป็นกังวลบุญญาโดยกล้าหาญ
ด้วยจิตตั้งรำพึงถึงกองกาง         ไม่เกียจคร้านมีมานะไม่ระวาย
แต่ก่อสร้างพระไตรปิฏกจบ        ก็ถ้วนครบบริบูรณ์ทูลถวาย
ได้ฉลองสามราตรีมีมากมาย      ทั้งหญิงชายโมทนาทั่วหน้ากัน
อุโบสถเดือนเหมือนอย่างก่อน   ทั้งหญิงชายผ้าผ่อนเงินตรา
ได้แจกให้ยาจกคนงกงัน            คนแก่นั้นมากมายทั้งยายชี
ประมาณคนชรากว่าสองร้อย      มานั่งคอยรำพึงอยู่อึ้งมี่
ได้รับรองไทยทานด้วยการยินดี อัญชลีงกงันชวนกันไป
บ้างให้พรโมทนาสาธุด้วย          ให้รื่นรวยเปรื่องปราชญ์อย่าหวาดไหว
ผลทานตามส่งให้จงใจ               ให้ท่านสมคิดพระนิพพาน

วัดอินทารามครั้งก่อนคงจะไม่มีเนื้อที่ราว ๒๕ ไร่ เท่าที่เห็นอยู่เดี๋ยวนี้ ตามที่ปรากฏสมเด็จกรุงธนบุรีทรงถวายไว้คราวที่มีงานบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศแต่สมเด็จพระราชชนนีของพระองค์ ต้องใช้ที่ปลูกโรงมหรสพราว ๒๐ โรง โรงพิธีต่าง ๆ อีกมากมาย และบรรจุคนที่มาในงานเฉพาะสมณะชีพราหมณ์ที่นิมนต์มาทำบุญก็ตกในราว ๖,๐๐๐ รูปเศษ แล้วยังฝ่ายข้าราชการที่กะเกณฑ์มาทำงานอีกหลายพันคน และไหนประชาชนแทบทุกสารทิศจะหลังไหลมาชมงานของเจ้าฟ้าพระยามหากษัตริย์ เช่นนี้อีกมากมายเท่าใด ถ้าเนื้อที่ ๒๕ ไร่อย่างนี้จะทำการใหญ่โตอย่างนั้นไม่ได้เลย เข้าใจกันว่าเนื้อที่ธรณีสงฆ์ได้หายไปในระหว่างขาดผู้ปฏิสังขรณ์ร้างรามาตอนรัชกาลที่ ๑ และที่ ๒ นี้คราวหนึ่ง เพราะปรากฏเมื่อพระยาศรีสหเทพมาสร้างเพิ่มเติมขึ้นใหม่เมื่อรัชกาลที่ ๓ นั้น ได้ซื้อที่ใกล้เคียงถวายไว้อีก ๘ ขนัดสวนใหญ่ ๆ แต่บัดนี้เหลือเพียงที่ได้กล่าวมาแล้ว ครั้นหมดวาสนาของพระยาศรีสหเทพแล้ววัดอินทารามก็เริ่มทรุดโทรมลงอีก เพราะขาดผู้บำรุงมาเป็นเวลาถึง ๓๐ ปีเศษ ถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ปูชนียสถานและเสนาสนะในวัดทรุดโทรมมาก พระอุโบสถที่พระยาศรีสหเทพได้สร้างขึ้นใหม่ก็ทรุดโทรม พระเณรร่วงโรยมีจำพรรษาไม่ค่อยถึง ๑๐ รูป ทางราชการจึงอารธนาให้พระทักษิณคณิสรย้ายจากวัดโพธินิมิตมาปกครองวัดนี้ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๘ นับตั้งแต่พระทักษิณคณิสรมาปกครองวัดนี้แล้ว ท่านได้เอาใจใส่พยายามทำการปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมพระอุโบสถเก่าและพระวิหารเก่าซึ่งทรุดโทรมลงเหลือแต่ผนังแค่ฐานปัทม์เท่านั้น ทั้งยังได้สร้างกุฏิตึก กุฏิไม้ โรงเรียนปริยัติธรรม ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถหลังใหม่ สร้างถนน กำแพง สระน้ำ ในยุคนี้นับว่ามีถาวรวัตถุสิ่งก่อสร้างเจริญขึ้น ทั้งนี้ย่อมจะกล่าวได้ว่า สรรพวัตถุที่งอกงามขึ้นมาในสมัยปัจจุบันนี้ ด้วยความวิริยะอุตสาหะของพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระทักษิณคณิสรตลอดเวลาที่มาปกครองวัดนี้ ๓๔ ปี
นับตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๘๔ เป็นต้นมา พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระวิเชียรมุนีได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสปกครองวัดอินทารามสืบต่อจากท่านเจ้าอาวาสองค์ก่อน ได้ทำการปฏิสังขรณ์เสนาสนะ จัดการศึกษา จัดการปกครองให้เป็นไปด้วยดี จำเริญรอยตามท่านเจ้าคุณพระทักษิณคณิสรผู้เป็นพระอุปัชฌาย์สืบต่อมาจนถึงการบัดนี้

ปูชนียวัตถุ โบราณสถานของวัดอินทาราม

๑. พระประธานในพระอุโบสถใหม่ เป็นพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๑๐ ฟุต ๓ นิ้วครึ่ง มีนามว่าพระพุทธชินวร ตามหลักฐานว่ามีพ่อค้าซุงทางเหนือ ได้นำพระพุทธรูปองค์นี้ล่องมากับซุง พอดีกับพระยาศรีสหเทพได้บูรณะวัดอินทารามขึ้นใหม่ จึงได้ติดต่อขอซื้อจากพ่อค้าซุงมาไว้เป็นพระประธานที่พระอุโบสถใหม่ ที่พระยาศรีสหเทพได้สร้างขึ้น
๒. พระพุทธรูปฉลองพระองค์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นพระพุทธรูปปางตรัสรู้ หน้าตักกว้าง ๔ ฟุต ๘ นิ้วครึ่ง เป็นพระประธานภายในพระอุโบสถเก่า และเป็นที่บรรจุพระบรมสรีรังคาร(ขี้เถ้า) ของพระองค์ การสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ได้จดหมายเหตุไว้ในประชุมพงศาวดารภาค ๖๕ หน้า๘๕ ฉบับพันจนนุมาศ (เจิม) ดังนี้ แล้วตรัสประภาษถึงพระกรรมฐานว่า พระนาภีของพระองค์นั้นแข็งไป กระแหนบมิเข้าผิดกับสามัญโลกทั้งปวง อัศจรรย์นี้ต้องด้วยในพระบาลีกรรมฐาน แล้วตรัสถามพระราชาคณะด้วยพระรูปลักษณะทรงฉายเป็นปริมณฑลนี้ จะต้องพระบาลีว่าอย่างไร พระราชาคณะถวายพระพรว่า พระบาลีลักษณะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระรูปเปรียบประดุจต้นไทร มิได้สูงต่ำ มิได้ยาวสั้น มีพระลักษณะหนา ๗ ประการ คือ พระกรขวา ๑ ซ้าย ๑ พระอังษาขวา ๑ ซ้าย ๑ พระอุระ ๑ รวมเป็น ๗ ประการด้วยกัน จึงพระกรุณาให้หล่อพระพุธรูปซึ่งต้องด้วยพระพุทธลักษณะ ให้พระสังฆราชเอาพระบาลีออกมากางให้ช่างทำ อนึ่ง พระสังฆราชแปลพระบาลีพระพุทธลักษณะถวายพระลักษณะใหญ่ ๓๒ ประการ พระลักษณะอย่างน้อย ๘๐ ประการ จึงดูในพระองค์ต้องด้วยพระพุทธลักษณะคือ สูงเท่าวาพระองค์สิ่งหนึ่ง มีเส้นพระอุณาโลมระหว่างพระโขนงอยู่เส้นหนึ่ง พระนาภีเรียวยาวเป็นทักษิณาวัตร พระปฤษฎางค์ใหญ่หนึ่ง ฝ่าพระหัตถ์ ฝ่าพระบาท พระพาหา พระอุระ หนาทั้ง ๗ ประการ ก็ต้องด้วยพระพุทธลักษณะทั้ง ๗ สิ่ง และพระปรางค์หนาอิ่มเป็นปริมาณหนึ่ง เมื่ออ่านพระบาลีและชันสูตรพระองค์ไปด้วยทุกประการ ก็ต้องด้วยพระพุทธลักษณะ ๑๒ สิ่ง ที่ไม่ต้องก็ทรงบอกไม่ต้อง
๓. พระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย สมัยอยุธยา หน้าตักกว้าง ๔ ฟุต ๑๐ นิ้วครึ่งประดิษฐานในพระวิหารเล็กข้างพระอุโบสถเก่า หรือพระวิหารพระเจ้ากรุงธนบุรี
๔. ประพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๓ ฟุต ๒ นิ้วครึ่ง ประดิษฐานอยู่
บนหอสวดมนต์ชั้นบน
๕. พระเจดีย์กู้ชาติ คือ พระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ยอดบัวกลุ่มคู่กับพระเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระอัครมเหสี ซึ่งมียอดเป็นปล้องไฉน ทั้งสององค์นี้ประดิษฐานอยู่หน้าพระอุโบสถเก่า.
๖. พระอุโบสถเก่าที่พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปฏิสังขรณ์ไว้ แต่ก่อนไม่มีหน้าต่าง ท่านเจ้าคุณพระทักษิณคณิศร ได้เจาะเปิดผนังทำหน้าต่าง เมื่อท่านมาอยู่พระพุทธรูปในพระอุโบสถเดิมพระเศียรหักพังหลุดไปเป็นส่วนมาก คุณนายเลียบ มารดาท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรี (กิมไล้ สุจริตกุล) ได้ถวายเงิน ๑๔,๐๐๐ บาท ปฏิสังขรณ์ขึ้นกับพระวิหารไว้พระแท่นของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และกำแพงรวมทั้งสองหลังพระอุโบสถเดิมเดี๋ยวนี้ใช้เป็นพระวิหาร ประดิษฐานพระรูปฉลองสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี บนหลังคาและหน้าบรรณประดับเครื่องลายคราม ระยะล่างจากเขื่อนริมคลองบางกอกใหญ่มา ๓๓ เมตร ยาว ๒๗ เมตร
๗. พระวิหารไว้พระแท่นบรรทมของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และพระบรมรูปจำลองแบบทรงพระกรรมฐาน นายต่าง บุญยมานพ ได้จ้างช่างปั้นตู้กระจกครอบกับพระแท่น ท่านเจ้าคุณทักษิณคณิศร ได้ช่วยออกสมทบทุนห่างจากเขื่อนริมคลองบางกอกใหญ่มา ๔๐ เมตร กว้าง ๑๖ เมตร ยาว ๑๖ เมตร ได้ซ่อมแซมขึ้นอีกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ โดยคุณนายขันทองบริจาคให้ ๑๕๐ บาท และนายต่าง บุญมานพได้ปฏิสังขรณ์ พระพุทธรูปพระศอหักขึ้นอีกเป็นเงิน ๑๐๐ บาท ภายในวิหารประดิษฐานพระแท่นบรรทมของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งพระองค์เคยใช้เป็นที่ประทับแรมทรงธรรมและกรรมฐาน เป็นไม้กระดาน ๒ แผ่น กว้างแผ่นละ ๘๐ เซนต์ ยาว ๒ เมตร ๔๘ เซนต์ กว้าง ๑ เมตร ๗๖ เซนต์ มีลูกกรงงา ๑๑๒ อัน (หลุดหายไปเสีย ๔ อัน) กับแผ่นสลักลายงาวิจิตรด้วยดอกไม้คั่นอยู่ภายในลูกกรงงา มี ๓๐ แผ่น (หลุดหายไปเสีย ๔ แผ่น) ที่สุดของลูกกรงงามีหัวเม็ดและโคนรวมเป็นงารวม ๖ อันหายไป ๓ อัน มีเสาสำหรับพระวิสูตร ๔ เสา ๒ เสา หน้าพระแท่นที่แผ่นงาสลักลายวิจิตรประกอบเสาเบื้องบนทั้งซ้ายขวาดังรวงผึ้งรวม ๔ เสา หายไป ๒ แผ่น แต่ก่อนพระบรมรูปจำลองเท่าพระองค์จริงในแบบทรงพระกรรมฐานอยู่บนพระแท่น ในปี ๒๕๐๙ ทางวัดได้ย้ายออกมาจากพระแท่นไปไว้อีกข้างหนึ่งโดยทำที่ประดิษฐานใหม่อย่างสวยงาม วิหารนี้เปิดให้ประชาชนและผู้สนใจเข้าชมและถวายสักการะได้ทุกวัน
๘. เก๋งจีนทั้งซ้ายขวา ตั้งอยู่ทางด้านหน้าพระอุโบสถใหม่ พระยาศรีสหเทพเป็นผู้สร้าง ปี ๒๕๑๑ ทางวัดได้จัดซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัยทั้งสองหลัง
๙. วิหารคตซ้าย มีพระพุทธรูปขนาดเท่ากับปางมารวิชัย ๑๐ องค์ และปางเลไลย์ก็ใหญ่หน่อย ๑ องค์ ตัววิหารชำรุด ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถใหม่ พระยาศรีสหเทพเป็นผู้สร้าง
๑๐. วิหารคตขวาได้ชำรุดปรักหักพังมาก มีพระประธาน ๑๑ องค์ พระยาศรีสหเทพเป็นผู้สร้าง ขณะนั้นพังลงมาทั้งหลัง พระพุทธรูปทั้งหมดสร้างด้วยปูนชำรุดเสียหายหมด ทางวัดมีโครงการจะสร้างให้เหมือนเดิมอยู่
๑๑. ศาลาการเปรียญใหญ่ อยู่ซ้ายพระอุโบสถใหม่มองดูเหมือนวิหารพระยาเสรีสหเทพสร้างไว้ มีพระประธานหน้าตัก กว้าง ๓ ศอกเศษ ๑ องค์ บนผนังวิหารทำเป็นช่องเสมารอบวิหารทั้ง ๔ ทิศ สำหรับไว้พระพุทธรูปรวม ๑๔๘ ช่อง เวลานี้ไม่ได้ใช้เป็นของร้าง ด้านหน้าด้านซ้ายได้ร้าวออกยาว ชำรุดมาก
๑๒. พระวิหารอยู่หน้าพระอุโบสถข้างขวา เป็นของพระยาศรีสหเทพสร้างลักษณะของพระวิหารทำกำแพงสองชั้น ชั้นนอกมีประตูและหน้าต่างเหมือนวิหารธรรมดา ส่วนวิหารชั้นในประตูเขียนลงทองลายรดน้ำเป็นนิยายเรื่องนารีผล ลวดลายยังพอมองเห็นได้ ภายในพระวิหารชั้นในก่อแท่นสำหรับไว้ตู้พระไตรปิฎกทั้งสองด้านและตู้พระไตรปิฎกก็ยังมีทั้งสองตู้ ภายนอกปิดทองทั้งหมดขนาดตู้ใหญ่มาก ตู้หนึ่งสูง ๒ เมตร ๕๕ เซนต์ ด้านล่าง ๑ เมตร ๓๔ เซนต์ ด้านข้างกว้าง ๖ เมตร ๓๐ เซนต์ และอีกตู้หนึ่งสูง ๓ เมตร แผ่นสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้างด้านละ ๑ เมตร ๒๖ เซนต์ มีพระประธานขนาดหน้าตัก ๒ ศอกเศษ อยู่หน้าตู้พระไตรปิฎก ข้างซ้ายมีพระปางห้ามญาติองค์หนึ่ง และพระปางห้ามสมุทรองค์หนึ่ง ผนังมีช่องเสมาไว้พระพุทธรูปสูงขนาด ๑ ฟุต รวม ๒๒๑ ช่อง
๑๓. พระอุโบสถใหม่ เป็นพระยาศรีสหเทพสร้างได้สร้างพระอุโบสถจากบริเวณที่ประดิษฐาน (ฝัง) พระบรมศพของพรเจ้ากรุงธนบุรี ห่างจากเขื่อนริมคลองบางกอกใหญ่ ๙๐ เมตร ตัวพระอุโบสถกว้าง๑๙ เมตร ยาว ๓๐ เมตร ภายในพระอุโบสถ มีพระประธานตักกว้าง ๑๐ ฟุต ๓ นิ้ว ครึ่ง ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นตามหมายเลข ๑ เสาพระอุโบสถและฝาผนังเขียนเป็นลายดอกไม้ เมื่อก่อนนั้นหลังคาพระอุโบสถรั่วมากน้ำไหลถูกภาพเขียนเลอะเลือนหมด มีสภาพดีเป็นบางตอน เมื่อต้นปี ๒๕๐๗ ทางวัดได้เขียนซ่อมแซมใหม่ ด้านหลังของประตูเป็นรูปเซี่ยวกางทั้ง ๔ ช่องและด้านหลังของหน้าต่างเป็นเทพพระยารักษ์ทั้ง ๑๐ ช่อง หน้าพระอุโบสถมีเตียงใหญ่เป็นไม้กระดานแผ่นเดียว ยาว ๖ เมตร ๕๗ เซนต์ กว้าง ๑ เมตร ๑๒ เซนต์ หนา ๙ เซนต์ เดิมใช้เป็นที่ตักบาตรของสงฆ์อยู่ในศาลาการเปรียญข้างพระอุโบสถ
๑๔. แท่นองค์พระเจดีย์ ๓ องค์ สิ่งนี้ยังเหลือเป็นอนุสรณ์ของพระยาศรีสหเทพ มีกุฏิพุทธอนุสรณ์ รวม ๔ กุฏิ กุฏิหัวและท้ายประดิษฐานพระปางไสยาสน์ขนาดเท่าพระพุทธองค์ ยาว ๔ เมตร ๔๘ เซนต์ ส่วนอีก ๒ กุฏิ มีพระแท่นพระพุทธบาทกุฏิหนึ่ง และอีกกุฏิหนึ่งเป็นรูปหีบพระศพพระพุทธองค์ ขณะยื่นพระบาทออกมาให้พระมหากัสสปะได้นมัสการ และมีเจดีย์ ๓ องค์ คั่นอยู่ระหว่างกุฏิ องค์กลางรอบฐานทำเป็นรูปรามเกียรติ์ แต่ปรักหักพังไปหมด
๑๕. เสมาใหญ่หน้าพระอุโบสถ เสมานี้มีหนังสือขอมจารึกสยาม ภาคที่ ๑ จารึกกรุงสุโขทัยศาสตราจารย์ ยอซ เซเดส์ ชำระแปรพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๖๗ ความว่าแผ่นศิลาจารึกที่ฝังไว้หน้าพระอุโบสถวัดอินทารามนั้น เป็นศิลาจารึกสมัยสุโขทัย อำเภอเมือง เข้าใจว่าได้มาจากเมืองสุโขทัยเก่าชำรุด มีอักษรประมาณ ๒๕ บรรทัด เป็นภาษาไทยล้านนา ศักราชไม่ปรากฏ เนื่องด้วยอักษรได้ขาดเลือนหายไปเสียเป็นส่วนมากอ่านไม่ได้ความ ทางราชการกรมศิลปกรจะนำมาไว้ที่หอพระสมุดแห่งชาติครั้งหนึ่งแต่พิจารณาถึงผลที่จะได้รับยังไม่เป็นผล จึงมิได้นำไป ใจความโดยย่อเข้าใจกันว่า เป็นการจารึกสถาปนาวัดใดวัดหนึ่งนำมาไว้วัดอินทารามสมัยกรุงธนบุรี แต่อีกแห่งหนึ่งเขียนไว้ว่า เสมานี้มีอักษรขอมจารึก แต่ได้ความว่าเป็นตำรายา เมื่อกรมพระยาดำรงค์ฯ เสด็จมาที่วัดนี้คิดจะเอาไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งขาติคราวหนึ่ง แต่ท่านเจ้าคุณพระทักษิณคณิศรได้ตั้งฝังปูนไว้เสียแล้ว สูง ๕๙ เซนต์ครึ่ง กว้าง ๑ เมตร ๑๘ เซนต์ครึ่ง และที่ถัดเสมาเข้ามาไปมีศิลาอาสน์หนาใหญ่ เป็นศิลาอาสน์ของพระยาศรีสหเทพทำขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น